ในยุคปัจจุบัน การเป็นหนี้ถือเป็นเรื่องปกติของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน รถยนต์ บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล แต่เมื่อเกิดปัญหาทางการเงินแล้วไม่สามารถชำระหนี้ได้ หลายคนอาจเลือกวิธี “เบี้ยวหนี้” หรือ “หนีหายไม่จ่าย” โดยคิดว่าอาจไม่มีผลกระทบมากนัก ทว่าในความเป็นจริง ผลเสียที่ตามมานั้นหนักหนากว่าที่คิด และอาจส่งผลต่อชีวิตของคุณในระยะยาว มาดูกันว่าผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้มีอะไรบ้าง
1. ประวัติทางการเงินเสียหาย
เมื่อคุณไม่จ่ายหนี้ตามกำหนด ข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้จะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลทางการเงิน ทำให้ประวัติทางการเงินของคุณเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบในอนาคต เช่น
- กู้เงินซื้อบ้านหรือรถยนต์ไม่ได้
- สมัครบัตรเครดิตหรือสินเชื่อใหม่ยากขึ้น หรือถูกปฏิเสธ
- ดอกเบี้ยสินเชื่อที่ขออนุมัติอาจสูงขึ้นเพราะมีความเสี่ยง
- ข้อมูลเครดิตเสียจะถูกบันทึกไว้นานถึง 8 ปี หลังจากที่ชำระหนี้หมด
ดังนั้น การผิดนัดชำระหนี้เพียงครั้งเดียวอาจทำให้คุณสูญเสียโอกาสทางการเงินในอนาคตได้
2. ดอกเบี้ยพุ่ง หนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
หากคุณไม่จ่ายหนี้ตามกำหนด ดอกเบี้ยผิดนัดและค่าปรับจะถูกคิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยอดหนี้พอกพูนเร็วกว่าที่คิด ยกตัวอย่างเช่น
- หนี้บัตรเครดิตที่ผิดนัดชำระ อาจถูกคิดดอกเบี้ยสูงถึง 16% ต่อปี
- สินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระ อาจถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัด 28% ต่อปี
- เงินต้นที่คุณเป็นหนี้อาจเพิ่มขึ้นจนเกินกำลังที่จะชำระได้ ทำให้คุณต้องจ่ายเงินมากกว่าที่กู้ไปหลายเท่า
3. ถูกฟ้องร้องและอายัดทรัพย์สิน
หากคุณเบี้ยวหนี้เป็นเวลานาน เจ้าหนี้มีสิทธิ์ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกคืนหนี้ โดยอาจมีผลดังนี้:
- ถูกฟ้องร้องและต้องขึ้นศาล
- ถูกอายัดเงินเดือน โดยศาลสามารถสั่งให้นายจ้างหักเงินเดือนบางส่วนเพื่อจ่ายเจ้าหนี้ได้
- ถูกอายัดบัญชีธนาคาร หรือทรัพย์สิน เช่น บ้านและรถยนต์ อาจถูกยึดและนำไปขายทอดตลาด
4. กระทบต่อความน่าเชื่อถือ และชีวิตประจำวัน
ปัญหาทางการเงินไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขในบัญชี แต่ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตในหลายๆ ด้าน เช่น
- การสมัครงานในบางตำแหน่ง เช่น ธุรกิจการเงินหรือธนาคาร อาจต้องตรวจสอบประวัติทางการเงินก่อนรับเข้าทำงาน
- เช่าคอนโดหรืออพาร์ตเมนต์อาจถูกปฏิเสธหากเจ้าของตรวจสอบประวัติการเงิน
- ความเครียดจากหนี้สินอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต และความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
ทางออกหากมีปัญหาหนี้สิน
หากคุณกำลังเผชิญปัญหาหนี้ อย่าหนีหายหรือปล่อยปละละเลย วิธีที่ดีที่สุดคือเผชิญหน้าและหาทางแก้ไข เช่น
- ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ – อาจต่อรองขอลดดอกเบี้ย หรือขยายระยะเวลาผ่อนชำระ
- จัดทำแผนการใช้จ่าย – ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และกันเงินบางส่วนมาชำระหนี้
- หาแหล่งรายได้เสริม – เพิ่มรายรับเพื่อช่วยให้การจ่ายหนี้เป็นไปได้ง่ายขึ้น
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน – ขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
- รีไฟแนนซ์หรือรวมหนี้– หากมีหนี้หลายทาง การรวมเป็นหนี้ก้อนเดียวอาจช่วยให้ดอกเบี้ยลดลงและบริหารจัดการง่ายขึ้น
- ขอความช่วยเหลือจากภาครัฐหรือสถาบันที่เกี่ยวข้อง – บางหน่วยงานมีโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถฟื้นตัวได้ง่ายขึ้น
สรุป
การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การไม่รับผิดชอบหนี้สินอาจส่งผลเสียต่อชีวิตในระยะยาว ทางออกที่ดีที่สุดคือการรับผิดชอบและจัดการหนี้อย่างมีวินัย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของคุณ อย่าลืมว่า “ประวัติทางการเงินดีมีค่า ใช้ชีวิตสบายใจ” ดีกว่าต้องเผชิญปัญหาการเงินในระยะยาวหากคุณมีหนี้สิน อย่าปล่อยให้มันกลายเป็นปัญหาหนัก รีบแก้ไขตั้งแต่วันนี้!