วางใจให้ออมสิน

ดูแลความสุขของชีวิตคุณ

banner banner
หน้าหลัก > บล็อกการเงิน > Financial > ทริคเก็บเงินของมหาเศรษฐีที่พวกเราทำตามกันได้

ทริคเก็บเงินของมหาเศรษฐีที่พวกเราทำตามกันได้

21 มิ.ย. 2562

เรามาดูกันว่าต้นทุนทางความคิดส่งผลที่แตกต่างกันอย่างไรได้บ้าง

 

“เศรษฐีจะหยุดคิดเมื่อหาทางออกไม่ได้ แต่จะหันมาใช้จินตนาการ”

การคิดนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การคิดมากจนเกินไปจะทำให้เราวนอยู่ในความคิดของตนเอง เมื่อคิดจนสุดทางแล้วยังไม่สามารถหาคำตอบหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ ให้หยุดคิดและหันมาใช้จินตนาการ

ยกตัวอย่าง เศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ใช้จินตนาการแทนความคิด สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับวงการธุรกิจได้ ได้เปลี่ยนระบบการขายบ้าน จากการที่บ้านสร้างเสร็จจะถูกโอนหลังจากลูกค้าผ่อนดาวน์หมดแล้ว เปลี่ยนเป็น “บ้านสร้างเสร็จก่อนขาย” พลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ สาเหตุที่ทำบ้านสร้างเสร็จก่อนขายก็เพื่อความคุมคุณภาพได้ก่อนส่งมอบถึงมือลูกค้า ทำแบบนี้โอกาสที่ลูกค้าจะยกเลิกออเดอร์มีน้อยมาก และบ้านคุณภาพตกก็มีน้อยเช่นกัน ทำให้รายได้ และกำไรของกิจการดีขึ้น จนก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์นั่นเองครับ โดยไอเดียดีๆ นี้มาจากการจินตนาการของเศรษฐีที่ต้องการเห็น “รอยยิ้ม” ของผู้ซื้อบ้านนั่นเอง
 

“เศรษฐีมักคิดให้ง่าย แต่คนส่วนใหญ่ยังคิดไม่ถึง”

สำหรับเศรษฐีนั้นมักจะใช้ความคิดง่ายๆ แต่คนส่วนใหญ่ยังคิดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น ความคิดของนักลงทุนระดับโลก “วอเรนต์ บัฟเฟตต์” ก็ไม่ได้ใช้แนวคิดที่ซับซ้อนในการซื้อหุ้น แต่ใช้ความคิดง่ายๆ เพียงแค่ “ซื้อหุ้นให้เหมือนกับเราเป็นเจ้าของบริษัท” ซึ่งความคิดทำนองนี้จะไม่อยู่ในหัวสมองของพวก “เทรดหุ้น” หรือพวกที่ซื้อขายหุ้นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน เลย มันเป็นแนวคิดที่ง่าย ที่หลายคนมองข้าม และไม่เคยที่จะนึกถึง แต่มันก็ทำให้ วอเรนต์ บัฟเฟตต์ กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่สองของโลกได้อย่างสบายๆ

 

“เศรษฐีจะไม่ใช้เวลาทั้งชีวิตหาเงิน แต่จะใช้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตหาเงิน เพื่อใช้ตลอดชีวิต”

เคล็ดลับการเป็นเศรษฐีนี้จะทำให้เราหาวิธีการที่จะทำให้เราใช้เวลาแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเพื่อหาเงินที่จะใช้ไปทั้งชีวิต นี่เป็นแนวคิดพื้นฐานของผู้ประกอบการ นักลงทุน นักนวัตกรรม นักประดิษฐ์ เพราะเมื่อประสบความสำเร็จ เงินทองจะไหลมาเอง และเราก็จะเป็นเศรษฐี เพื่อมีชีวิตที่เหลือใช้เงินที่เราหามาได้  แต่ก็มีเศรษฐีหลายคนเดินตามทางนี้แล้ว ก็ยังไม่หยุดที่จะทำงาน นั่นก็เพราะงานเหล่านั้นเป็นงานที่เขารักที่จะทำ และอยากจะทำมันตลอดไปนั่นเอง
 

“คนทั่วไปมักจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เศรษฐีมักจะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก”

คนทั่วไปมักจะใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือไม่ทำให้เกิดสิ่งสำคัญใหญ่ๆ กับชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ใส่ใจในเรื่องของดารานักร้อง ติดตามว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร หรือสนใจกับคำติฉินนินทามากจนเกินไป นั่นทำให้คนเหล่านั้นเสียเวลาเปล่า แต่พอต้องเจอกับเรื่องใหญ่ๆ จะมองว่า “ยาก” หรือ “เป็นไปไม่ได้” ผิดกับนิสัยเศรษฐีที่จะมองเรื่องยากๆ ให้ง่าย ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก และไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้เสียเวลานานจนเกินไป
 

“คนทั่วไปจะมองที่ปัญหา ในขณะที่เศรษฐีจะมองที่ทางออก”

ปัญหามีอยู่แทบจะทุกที่ทั่วโลก ทั้งปัญหาเล็กๆ ระดับบุคคล และปัญหาใหญ่ๆ ระดับประเทศ ระดับโลก สาเหตุหนึ่งเพราะคนทั่วไป ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่นั้นมองเห็นแต่ตัวปัญหา ปัญหาจึงเติบโตล้นโลก ผิดกับคนส่วนน้อย ซึ่งเป็นเศรษฐีจะมุ่งไปที่ทางออก โลกของเศรษฐีจึงเต็มไปด้วยความสำเร็จและความมั่งคั่ง ไม่ใช่เต็มไปด้วยปัญหาเหมือนคนทั่วไปนั่นเอง
 

 

เคล็ดลับเก็บเงินสไตล์ “เศรษฐี” สำหรับการเก็บเงินที่ดีที่สุดของเศรษฐีคือ เก็บในที่ๆ เงินสามารถงอกเงยขึ้นมาได้ เราจึงเห็นเศรษฐีที่เก็บเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง แต่ก็แบ่งเงินมาลงทุนอีกส่วนหนึ่ง และบางครั้งเป็นส่วนมาก เพราะการเก็บเงินไว้เฉยๆ ฝากธนาคารในปัจจุบันไม่สามารถทำให้ใครรวยได้อีกต่อไป และจะแพ้เงินเฟ้อที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ในยุคดอกเบี้ยติดลบ และยุคพิมพ์แบ๊งค์อย่างทุกวันนี้ ทริคการเก็บเงินก็คือ “ทำเงินให้งอกเงยด้วยการลงทุน”
 

———————————————————–
Skip to content